เพลงพวงมาลัย มีกำเนิดมาอย่างไรนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีพัฒนาการมาจากความเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทย ซึ่งนิยมพูดให้คล้องจองกัน เช่น โกหกพกลม กระจองงอแง ล้มหายตายจาก เป็นต้น การพูดเป็นวลีคล้องจองเช่นนี้มีหลักฐานปรากฏในเอกสารเก่า ๆ และในหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัย ถือเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของภาษาไทย-ลาว ที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์และถือเป็นการสร้างคำชนิดหนึ่งของภาษาไทย ในปัจจุบันวลีคล้องจองเหล่านี้มีกฎเกณฑ์ในการใช้จำนวนคำของมันอย่างแน่นอนระดับหนึ่ง
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551
ประวัติความเป็นมา " เพลงพวงมาลัย "
เพลงพวงมาลัย มีกำเนิดมาอย่างไรนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีพัฒนาการมาจากความเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนของคนไทย ซึ่งนิยมพูดให้คล้องจองกัน เช่น โกหกพกลม กระจองงอแง ล้มหายตายจาก เป็นต้น การพูดเป็นวลีคล้องจองเช่นนี้มีหลักฐานปรากฏในเอกสารเก่า ๆ และในหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัย ถือเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของภาษาไทย-ลาว ที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์และถือเป็นการสร้างคำชนิดหนึ่งของภาษาไทย ในปัจจุบันวลีคล้องจองเหล่านี้มีกฎเกณฑ์ในการใช้จำนวนคำของมันอย่างแน่นอนระดับหนึ่ง
ลักษณะเพลงพวงมาลัย
๑.๑ เพลงพวงมาลัยสั้นหรือเพลงพวงมาลัยเร็ว เพลงชนิดนี้มีความยาวของเนื้อร้อง ๑ บท อยู่ใน ๓ บาทหรือ ๖ วรรค วรรคละ ๔-๗ คำ เพลงพวงมาลัยชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้เป็นเพลงปรับในการเล่นกีฬาพื้นบ้านในช่วงเทศกาลตรุษสงกรานต์ เพลงที่ร้องมักเป็นเพลงที่ร้องจำต่อ ๆ กัน หรือเป็นเพลงร้องด้นเฉพาะหน้าที่มีบทสั้น ๆ กลอนที่ใช้เล่นเหมือนกลอนเพลงพวงมาลัยยาว เพียงแต่คำจะน้อยกว่าและไม่นิยมกลอนชนิดกลอนไล เพราะจะลงท้ายกลอนตามเนื้อเรื่องที่ร้อง ลักษณะของเนื้อร้องที่ร้องเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดมีเนื้อหาเกี่ยวก่ายกันเป็นลักษณะว่าตอบโต้แก้กันบทต่อระหว่างชายหญิง แต่ไม่เล่นเป็นเรื่องต่อเนื่องกันเป็นชุดเหมือนเพลงพวงมาลัยชนิดยาวหรือเพลงพวงมาลัยช้า นิยมร้องเล่นยามหน้าตรุษสงกรานต์
๑.๒ เพลงพวงมาลัยยาวหรือเพลงพวงมาลัยช้า บทหนึ่งมีความยาว ๓ บาท หรือ ๖ วรรคขึ้นไป บทหนึ่ง ๆ จะยาวเท่าไรก็ได้ไม่จำกัด เท่าที่พบจากข้อมูลบทหนึ่งมีความยาวถึง ๖๐ กว่าบาท บทที่ร้องยาว ๆ นี้จะพบในการร้องด้นเล่าเรื่อง จำนวนคำในแต่ละวรรคไม่แน่นอน ประมาณ ๔-๘ คำขึ้นไป กลอนที่นิยมเล่นเป็นกลอนหัวเดียวชนิดกลอนไล เหมือนเพลงปฏิพากย์ยาวกว่าชนิดอื่นทั่วไป เนื้อร้องมักต่อเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกันหรือเป็นชุดเหมือนเพลงปฏิพากย์ยาวของภาคกลาง กลอนที่พบมักเป็นกลอนด้น ท่วงทำนองและจังหวะจะช้ากว่าเพลงพวงมาลัยสั้นซึ่งขึ้นอยู่ที่คำในวรรค ถ้ามีจำนวนคำน้อยจังหวะจะช้า ถ้ามีคำมากจังหวะจะเร็วและมีการรวบคำ โดยคำนึงถึงเนื้อความและสาระให้จบความในวรรคเป็นสำคัญ
๒. ลักษณะคำประพันธ์ แม้เพลงพวงมาลัยทั้งสองชนิดจะมีความต่างกันอยู่บ้าง ในเรื่องจำนวนคำและความยาวสั้นของบท แต่เพลงพวงมาลัยทั้งสองชนิดนี้จะมีฉันทลักษณ์หรือลักษณะคำประพันธ์ที่เหมือนกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเพลงพวงมาลัย คือ มักขึ้นต้นด้วยคำว่า “เอ้อระเหยลอยมา” ซึ่งคำที่ ๕ อาจเปลี่ยนเป็นคำอื่นได้ เช่น ล่อง ลั่น พราว มา ไป ลิ่ว ล่อน กล้อน ฯลฯ เป็นต้น และลงท้ายด้วยคำว่า “เอย” กลอนที่พบเป็นกลอนหัวเดียวชนิดกลอนไลเป็นส่วนใหญ่
๓. ท่วงทำนองและจังหวะ ในด้านท่วงทำนองและจังหวะ เพลงพวงมาลัยเป็นเพลงที่มีทำนองหลักเพียงทำนองเดียวตั้งแต่เริ่มเล่นจนจบ และเป็นเพลงที่มีทำนองช้าต้องอาศัยการเอื้อนเสียงมากจึงทำให้เพลงไพเราะ ส่วนจังหวะจะช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเพลง เช่น ถ้าเนื้อหาเป็นการด้นเล่าเรื่องหรือเป็นบทชมธรรมชาติจะมีคำในวรรคมาก เมื่อร้องผู้ร้องก็จะร้องให้จังหวะเร็วขึ้นและใช้การรวบคำอันเป็นหนึ่งที่ช่วยสร้างความรู้สึกสนุกสนานให้เกิดในอารมณ์ของผู้ฟัง อันเกิดจากการสัมผัสและเสียงที่กระทบกันเป็นเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ
๔. องค์ประกอบของการเล่นเพลงพวงมาลัย การเล่นเพลงพวงมาลัย ต้องประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ หลายส่วน เพื่อให้การเล่นดำเนินไปได้ด้วยดี อันได้แก่ ผู้เล่น การแต่งกาย โอกาสที่เล่น เวลา สถานที่ อุปกรณ์การเล่น เรื่องที่เล่น และวิธีเล่น
การแต่งกายผู้แสดง
เนื่องจากเพลงพวงมาลัยมิใช่เพลงอาชีพ การเล่นเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้เล่นแต่ละฝ่าย ซึ่งมักมิได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ดังนั้น การแต่งกายจึงเป็นไปตามสมัยนิยมและเป็นไปตามสถานการณ์หรือโอกาสที่เล่นนั้น ๆ เช่น ถ้าเล่นในทุ่งนาในการเก็บเกี่ยวข้าวก็จะใช้ชุดทำงานเล่น แต่ถ้าเล่นยามเทศกาลหรืองานประเพณีต่าง ๆ ผู้เล่นจะแต่งกายตามความนิยมของแต่ละถิ่นแต่ละสมัย มีลักษณะดังนี้
ผู้เล่นฝ่ายชายจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม มีผ้าขาวม้าคาดเอว เครื่องประดับแล้วแต่ฐานะของผู้เล่น แต่ถ้าเล่นในงานประเพณีทั่วไปจะแต่งกายตามสมัยนิยม
ฝ่ายหญิงทั้งในอดีตและปัจจุบันจะแต่งกายคล้ายคลึงกัน คือ สวมเสื้อคอกระเช้า (ชนิดคอถักลูกไม้ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเสื้อคอฟัก) หรือบางทีใส่เสื้อแขนกระบอก นุ่งโจงกระเบนทับเสื้อแล้วคาดด้วยเข็มขัด เครื่องประดับแล้วแต่ฐานะของผู้เล่น ถ้าเล่นในงานที่หาไปอย่างเป็นพิธีผู้เล่นจะแต่งกายเหมือนกันทุกคน
บทวิเคราะห์ บทร้อง เนื้อหาสาระ
เอ่อระเหยลอยมา ลอยมาลอยไป (ลูกคู่รับ ๑ ครั้ง)
ยกพานจำนนขึ้นมาบนหน้าผาก ทั้งธูปเทียนพลูหมากมีทั้งดอกไม้
ไหว้บิดามารดาครูอาจารย์ ยึดความหมายมั่นเอาเข้าไว้
ไหว้ครูผู้สอนเมื่อตอนศึกษา ทั้งยกมือวันทาเอาเข้าไว้
ไหว้ครูคนแรกที่จ่ายแจกวาจา คือบิดรมารดาไหว้เสียให้ได้
ทั้งสิบนิ้วยกไหว้ ขอให้พ้นจากภัยพานเอย (ลูกคู่รับ ๒ ครั้ง)
บทไหว้ครูหญิง
เอ่อระเหยลอยมา ลอยมาลอยไป (ลูกคู่รับ ๑ ครั้ง)
ยกพานจำนนไปบนเหนือเศียร ดอกไม้ธูปเทียนจะขอไหว้
ลูกจะไหว้คุณครูที่ลูกนับถือ วันนี้แหละหรือจะขอไหว้
ขอเชิญคุณพ่อสี่ทิศ ให้มานิมิตรักษาไว้
ขอเชิญคุณครูแล้วทาษีที่มีฤทธิ์ ว่าจะให้ผิดลงมาไว้
ลูกจะไหว้ครูก็ที่ลูกนับถือ สิบนิ้วนมมือลูกขอไหว้
ลูกจะเล่นพวงมาลัย แล้วขอให้สมดังใจปองเอย
วิเคราะห์บทไหว้ครู
เนื้อหาของบทไหว้ครูในเพลงพวงมาลัย “ยกพานจำนนขึ้นมาบนหน้าผาก ทั้งธูปเทียนพลูหมากมีทั้งดอกไม้” เป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาของคนไทยที่สอนให้ลูกหลานรู้จักพิธีกรรมในการไหว้ครู การเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนเพื่อไหว้ครู การไหว้ครูเป็นประเพณีของไทยมาแต่โบราณ เป็นการแสดงความเคารพครูอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้ “ไหว้บิดามารดาครูอาจารย์” การไหว้บิดามารดาซึ่งเปรียบเสมือนครูคนแรก เป็นการสอนให้มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาซึ่งเป็นผู้ทีเลี้ยงเรามาเป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาที่สอดแทรกลงไปในเนื้อเพลงพวงมาลัยเป็นการปลูกฝังให้มีคุณธรรมจริยธรรม เมื่อปฏิบัติตามคำสั่งสอนจะก่อให้เกิดสิริมงคลและความก้าวหน้า ในการไหว้ครูฝ่ายชายจะไหว้ก่อน และเมื่อฝ่ายชายไหว้ครูเสร็จฝ่ายหญิงจะร้องไหว้ครู ซึ่งเนื้อหาของเพลงก็จะกล่าวถึงศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือให้มาช่วยคุ้มครองและเพื่อให้การร้องเพลงพวงมาลัยเป็นไปด้วยดีไม่มีติดขัด
สรุป
บทบาทและหน้าที่ของเพลงพวงมาลัยที่ปรากฏในสังคมและวัฒนธรรม
“เพลงพวงมาลัย” เป็นเพลงร้องพื้นบ้านชนิดหนึ่งของภาคกลางที่กลุ่มชนได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน จนมีแบบแผนเฉพาะและใช้เป็นมหรสพอย่างหนึ่งซึ่งเคยได้รับความนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายในภาคกลาง ปัจจุบันบางท้องถิ่นก็ยังนิยมเล่นกันอยู่ โดยเฉพาะตำบลจระเข้สามพัน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งบทบาทของเพลงพวงมาลัยที่มีต่อชุมชนในท้องถิ่นนี้ มีประเด็นดังต่อไปนี้
บทบาทในด้านให้ความบันเทิง คือ ให้ความสนุกสนานจากเนื้อหา การเกี้ยวพาราสี ปะทะคารมระหว่างชายหญิง จังหวะและลีลาสนุก ท่าทางประกอบทั้งที่เป็นท่ารำและกิริยาอาการอื่น ๆ
เพลงพวงมาลัย เป็นการเล่นที่มีทั้งการร้องและการแสดงควบคู่กันไป ทั้งผู้ชมก็สามารถมีส่วนร่วมได้ด้วย เช่น การปรบมือให้จังหวะ การร้องรับ การเข้าไปร่ายรำ หรือเป็นผู้ร้องเองในบางโอกาส การเล่นที่เป็นอิสระเช่นนี้ จึงทำให้ผู้เล่นและผู้ชมเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินผ่อนคลายอารมณ์เครียดในชีวิตประจำวันได้ด้วย และเนื่องจากเพลงพวงมาลัยเป็นเพลงร้องโต้ตอบมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเกี้ยวพาราสี จึงเป็นการปะทะคารมระหว่างชายหญิง บางครั้งผู้เล่นมิได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า การโต้ตอบจึงต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบตอบโต้กัน ทำให้การเล่นสนุกสนานยิ่งขึ้น เนื้อหาจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเพลงพวงมาลัยที่ก่อให้เกิดความบันเทิง ความบันเทิงที่ได้จากการเล่นเพลงพวงมาลัย
บทบาทในด้านสร้างความสามัคคี คือ สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แก่คนในสังคม เนื่องจากการรวมหมู่ใช้แรงงาน และเพลงที่ร้องในเทศกาลสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในหมู่บ้าน
การเล่นเพลงพวงมาลัย เป็นการเล่นที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันในการประกอบกิจกรรมตามประเพณี หรือเทศกาลต่าง ๆ ในสังคม เช่น ประเพณีโกนจุก บวชนาค แต่งงาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า การลงแขกเกี่ยวข้าว เทศกาลตรุษสงกรานต์ เพลงพวงมาลัยเป็นส่วนหนึ่งในการรวมกลุ่ม เพราะเป็นมหรสพที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้ผู้ที่มาร่วมกิจกรรมตามประเพณีได้สนุกสนานรื่นเริง และยังมีส่วนช่วยสร้างความสามัคคีของคนในสังคม โดยการสอดแทรกประเพณีพิธีกรรม ค่านิยม ความเชื่อของกลุ่มในสิ่งเดียวกันไว้ในเนื้อหาของเพลง
บทบาทในด้านให้ความรู้ คือ สอดแทรกความรู้ให้กับสมาชิกในสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม รวมทั้งในทางในการดำเนินชีวิตและค่านิยมต่าง ๆ ในสังคม
ในการเล่นเพลงพวงมาลัย ซึ่งเป็นเพลงร้องโต้ตอบกันขนาดยาว ผู้เล่นจะต้องแข่งขันความรู้ความสามารถกันอย่างยิ่ง ทั้งในทางโลกและทางธรรม ซึ่งช่วยให้ผู้ฟังได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น ด้านการประกอบอาชีพ
บทบาทด้านควบคุมสังคม เพลงพื้นบ้านเป็นมหรสพที่มีบทบาทเด่นเป็นพิเศษ เพราะว่าผู้ที่เป็นพ่อเพลงแม่เพลง นอกจากจะมีน้ำเสียงดี โวหารดีแล้ว ยังต้องมีความรู้ทั้งในเรื่องประสบการณ์ชีวิตและเรื่องทั่ว ๆ ไป พอที่โน้มน้าวจิตใจผู้คนในสังคมให้คล้อยตาม การโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้มาทางศีลธรรม ด้วยการชี้แนะระเบียบแบบแผน ตลอดจนการกำหนดพฤติกรรมที่เหมาะสมในสังคม โดยการสอดแทรกคำสอนทางศาสนา ค่านิยม และกฎเกณฑ์ในสังคมที่ควรปฏิบัติไว้ในบทเพลง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการควบคุมและรักษาปทัสถานของสังคม
บทบาทด้านแสดงความในใจ คือ ระบายความเก็บกดอันเนื่องมาจากประเพณีและค่านิยมบางประการ และระบายความเก็บกดอันเนื่องมาจากสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม
ความเชื่อดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากสังคมบรรพกาล อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ทำให้มนุษย์เอาใจธรรมชาติโดยการกราบไหว้บูชา จึงเกิดลัทธินับถือผีหรือด้านไสยศาสตร์ฝังรากอยู่ในจิตใจ เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไม่ปิดกั้นความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่ ความเชื่อพื้นบ้านจึงยังคงอยู่คู่กับความเชื่อทางพุทธศาสนา และอยู่ในรูปธรรมที่ผสมผสานกันอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เพลงพวงมาลัยก็เช่นเดียวกัน เป็นเพลปฏิพากย์หรือเพลงร้องโต้ตอบระหว่างชายหญิงซึ่งมีโครงเรื่องไปในเชิงสังวาส เป็นเรื่องของการเกี้ยวพาราสี การเล่นเพลงพวงมาลัยจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของกระบวนการระบายความในใจของสมาชิกในสังคมที่ถูกเก็บซ่อนไว้
บทบาทด้านบันทึกเหตุการณ์ คือ บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งระดับหมู่บ้านและสังคมอื่น
เพลงพื้นบ้านไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ย่อมเป็นการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งระดับหมู่บ้านและสังคมอื่นที่ไกลออกไป เพลงพื้นบ้านนอกจากจะบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ยังช่วยบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมที่ชาวบ้านได้รับรู้หรือเกี่ยวข้องในด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น การเก็บข้อมูลเพลงพื้นบ้านนอกจากจะทำให้เราทราบถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านและสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว ยังทำให้ทราบเหตุการณ์อื่นที่นอกเหนือจากวิถีชีวิตของชาวบ้าน อันจะเป็นประโยชน์ในแง่ประวัติศาสตร์หรือทราบความรู้สึกของชาวบ้านที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย
บทบาทด้านฝึกฝนสติปัญญา เพลงพวงมาลัยมีบทบาทในด้านการฝึกฝนสติปัญญาทั้งในผู้เล่นและผู้ฟัง ในการคิดและแสวงหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ เนื่องจากผู้เล่นทั้งพ่อเพลงแม่เพลงต่างก็ไม่ใช่นักเพลงคณะเดียวกัน ต่างคนก็มาจากต่างที่ซึ่งมีประสบการณ์ต่างกัน และการที่มาเล่นโดยไม่มีการเตรียมล่วงหน้า ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เล่น โดยเฉพาะผู้ชายต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ จากการสอบถามพ่อเพลงแม่เพลงกล่าวว่า ส่วนใหญ่จะแพ้กันในเรื่องสิกขา-บาลี คือเรื่องเกี่ยวกับศาสนานั้นเอง ทั้งที่เป็นเรื่องราวทางพุทธประวัติและหลักธรรมซึ่งเมื่อถูกผู้เล่นฝ่ายหญิงถามถึงเรื่องใดถ้าตอบไม่ได้ก็ถือว่าแพ้ ถ้าแพ้ในเรื่องสิกขา-บาลี และเป็นการเล่นกันอย่างเอาจริงเอาจัง จะถูกฝ่ายหญิงว่าเอาเสียหาย เช่น “บวชก็เสียผ้าเหลือง สึกไปก็เปลืองผ้าไหม เสียแรงกินข้าวก้นบาตร หาความฉลาดสักนิดก็ไม่ได้” บางครั้งถ้าฝ่ายหญิงไม่พอใจในคำตอบอาจจะใช้คำพูดที่รุนแรงมากในลักษณะดูถูกเหยียดหยาม ดังนั้น ฝ่ายชายจึงต้องเป็นคนรอบรู้และแสวงหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ และถ้าแพ้คำถามในเรื่องใดก็จะต้องสืบเสาะหรือค้นคว้าหาคำตอบมาเตรียมร้องแก้ให้ได้เมื่อพบกันครั้งต่อไป แต่จะไม่ถือโกรธกัน เพราะเป็นการเล่นด้วยความสมัครใจและอวดภูมิรู้
ความเชื่อเกี่ยวกับเพลงพวงมาลัย
ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์
ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง น้ำมนต์ และคาถาอาคม เพื่อช่วยในการคุ้มครองป้องกันเหตุร้าย การใช้คาถาอาคมเพื่อให้สิ่งที่ทำประสบผลสำเร็จ และการใช้น้ำมนต์เพื่อป้องกันเสนียดจัญไร และเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เทวดา และภูตผี
ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เทวดา และภูตผี ที่ปรากฏในเพลงพวงมาลัยเป็นความเชื่อในอิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้า เทวดา และภูตผีว่าจะช่วยดลบันดาลให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือช่วยเหลือให้กระทำการต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงด้วยดี หรือเชื่อว่าจะให้คุณให้โทษแก่ตนได้
ความฝันเป็นความหมายแห่งโชคลาง เช่น ฝันว่าฟันหักจะได้ยินข่าวร้าย ฝันว่าไฟไหม้จะมีเรื่องเดือดร้อน ฝันเห็นงูจะได้พบเนื้อคู่ ฝันว่าได้แก้ว ผู้ที่ฝันจะมีครรภ์และเชื่อว่าเด็กในครรภ์นั้นเป็นเทวดาที่ลงมาจุติ คือ เทวดาที่หมดบุญแล้วลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อสั่งสมบุญใหม่ ผู้ที่ฝันจะมีบุตรที่เป็นคนดี
ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม
เชื่อกันว่าชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับสวรรค์เบื้องบนได้กำหนดไว้ให้ ซึ่งก็คืออำนาจของดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งมีคติความเชื่อเรื่องวันเวลาในการประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น เดือนที่เป็นมงคลในการแต่งงาน คือ เดือนอ้าย เดือนสี่ เดือนหก เดือนเก้า
ความเชื่อเรื่องยากลางบ้าน และสมุนไพรต่าง ๆ
ความเชื่อเรื่องยากลางบ้าน สมุนไพรต่าง ๆ เช่น ยอดฝรั่งกินแก้ทองเดิน ขมิ้นใช้ทาให้ผิวสวย ความเชื่อด้านนี้เกิดจากในสมัยก่อนเมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น วิชาการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเช่นในปัจจุบันจึงใช้วิธีรักษาโรคที่ได้ผลตามความเชื่อของกลุ่ม และปัจจุบันบางกลุ่มยังใช้วิธีการรักษาแบบเดิมอยู่